จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

ทุเรียนลูกอีสาน อร่อยดี กำลังนิยม

ทุเรียนลูกอีสาน อร่อยดี กำลังนิยม

ทุเรียนลูกอีสาน อร่อยดี กำลังนิยม

ทุเรียนศรีสะเกษ ความภาคภูมิใจของจังหวัดศรีสะเกษ
       “ทุเรียน” ผลไม้ที่มีเอกลักษณ์ด้วยเปลือกที่เป็นหนามแหลมสะดุดตา มีกลิ่นฉุนเฉพาะโดดเด่น มีเนื้อในที่แน่นนุ่มและรสชาติเป็นที่ชื่นชอบ จนได้ฉายาว่า “ราชาแห่งผลไม้” มีหลากหลายสายพันธ์ แต่ที่นิยมปลูกในประเทศไทย ก็คือ หมอนทอง ชะนี ก้านยาว ที่มักจะออกผลผลิตตั้งแต่ช่วง เมษายน-พฤษภาคม หรือมีเหลือประปรายจนถึงเดือนกรกฎาคม เป็นที่รู้ว่า จะปลูกกันมากทางภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ระยอง ตราด และสามารถปลูกได้ในอีกหลายๆจังหวัด
       
       จังหวัดศรีสะเกษถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความโดดเด่นด้านทุเรียนไม่น้อย โดยปัจจุบันทุเรียนศรีสะเกษ กำลังเป็นที่แพร่หลายและได้รับความนิยม ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าทุเรียนแต่ละสายพันธ์นั้นก็จะมีความโดนเด่นและมีเอกลักษณ์ของผลและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ขณะที่พื้นที่ที่ใช้ในการปลูกนั้นก็ยังเป็นอีกปัจจัย ที่จะทำให้ทุเรียนนั้นมีความโดนเด่นเฉพาะในพื้นที่ปลูกนั้นๆ
        
       สำหรับทุเรียนศรีสะเกษจะมีความโดดเด่นในด้านไหน ผู้ที่จะอธิบายได้ดีคงเป็นคนที่คลุกคลีกับการปลูกทุเรียน 
ทุเรียนลูกอีสาน อร่อยดี กำลังนิยม
คุณทศพล สุวะจันทร์ เคียงคู่ ทุเรียนศรีสะเกษ
        นายทศพล สุวะจันทร์ เจ้าของ"สวนคุณทศพล" ประธานชมรมผลไม้ ต.ตระกาล ที่ตั้งอยู่ที่ ต.ตระกาล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เป็นอีกผู้หนึ่งที่ริเริ่มการปลูกทุเรียนเป็นเจ้าแรกๆ ที่จังหวัดศรีสะเกษ นายทศพล กล่าวว่าก่อนที่จะริเริ่มการปลูกไม้ผลนั้นได้ทำการเพราะปลูกพืชไร่มาก่อน แต่ผลผลิตก็ได้ไม่ดีเท่าทีควรเพราะเป็นพืชล้มลุก จึงได้หันมาเริ่มปลูกพืชสวนเริ่มแรกเป็นทุเรียนและเงาะทีได้พันธ์มาจาก การไปศึกษาดูงานที่ปราจีนและจันทบุรี หลังจากที่เฝ้าประคบประหงมมานานตั้งแต่ปี 2534 ทั้งเงาะและทุเรียนก็เริ่มให้ผลผลิตออกสู่ตลาด แต่ผลผลิตก็ยังไม่เป็นที่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก 
ทุเรียนลูกอีสาน อร่อยดี กำลังนิยม
วิธีการปอกเปลือกทุเรียน
        เพื่อเป็นการยืนยันปี 2536 ทางจังหวัดจึงได้จัด “เทศกาลผลไม้เงาะทุเรียนจังหวัดศรีสะเกษ” ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ ที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์ จากนั้นมาจนถึงวันนี้ นับรวมเป็นเวลา 19 ปีแล้ว ที่จังหวัดศรีสะเกษมีเงาะและทุเรียนที่ปลูกเองออกมาจำหน่าย รวมถึงผลไม้อื่นๆ อาทิ ลองกอง มังคุด นับแต่นั้นมาความขึ้นชื่อของทุเรียนศรีสะเกษ ก็เป็นที่บอกกล่าวต่อต่อกันมา จนได้รับความนิยมและเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน 
ทุเรียนลูกอีสาน อร่อยดี กำลังนิยม
ผลผลิตกำลังออกเต็มต้น ในช่วงรุ่นสุดท้ายของปี
        นายทศพล กล่าวต่อว่า การเป็นที่ขึ้นชื่อนั้นก็มาจากความชอบของผู้ที่ได้มาลิ้มลองกินทุเรียนของศรีสะเกษ และพอติดใจก็เป็นการบอกกล่าวปากต่อปาก จนกลายมาเป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของทุเรียนที่ปลูกในพื้นที่ด้วย เพราะถึงจะเป็นสายพันธ์ที่ได้มาจากจังหวัดจันทบุรี แต่เนื่องจากพื้นที่ในการปลูก ด้วยสภาพแวดล้อมของจังหวัดศรีสะเกษนี้ เป็นพื้นที่ดินภูเขาไฟเก่า มีภูมิอากาศแห้งของที่ราบสูง ไม่เหมือนทางจันทบุรีที่มีฝนตกชุก ถึงจะเป็นพันธ์เดียวกันแต่ผลผลิตที่ได้ก็จะแตกต่างกัน ตามแต่ละพื้นที่ที่ปลูก เพราะสภาพดินฟ้าอากาศเป็นปัจจัยในการออกดอกออกผล 
ทุเรียนลูกอีสาน อร่อยดี กำลังนิยม
เนื้อนุ่มกรอบ รสชาติดี ไม่แฉะติดมือ มีพูสวยงาม เอกลักษณ์ที่ได้รับความนิยม
        นายทศพล กล่าวเสริมว่า “ความเป็น เอกลักษณ์จนเป็นที่รู้จัก อย่างกว้างขวางของทุเรียนศรีสะเกษ นั้นมาจาก การมีเนื้อที่นุ่ม กรอบ รสชาติดี ไม่แฉะติดมือ และมีพูที่สวยงาม” และยังมีเคล็ดลับเสริมว่า “หากใครกินทุเรียนแล้วกลัวกลิ่นติดปาก โบราณว่าให้เอาน้ำเปล่า ใส่เปลือกทุเรียนแล้วกินตาม จะทำให้ดับกลิ่นได้ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่บอกต่อกันมา” 
ทุเรียนลูกอีสาน อร่อยดี กำลังนิยม
บรรยากาศภายในสวนคุณทศพล
        สำหรับผลผลิตของทางจังหวัดศรีสะเกษนั้น ส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นจะเป็นพันธ์หมอนทอง เพราะเป็นที่ได้รับความนิยม จากทางประเทศจีน ไต้หวัน ซึ่งได้กลายเป็นผลไม้ส่งออก ส่วนรองลงมาจะเป็นพันธ์ ชะนีและก้านยาว ทุเรียนศรีสะเกษจะมีผลผลิต ที่ไม่ตรงกับทางจังหวัดทางภาคตะวันออก โดยผลผลิตของทางจังหวัดศรีสะเกษจะออกสู่ตลาดประมาณกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งส่วนใหญ่ผลผลิตของจังหวัดอื่นๆ จะออกตั้งแต่เดือนเมษายนและหมดประมาณเดือนพฤษภาคม แต่ผลผลิตในแต่ละปีก็จะออกแตกต่างกัน ซึ่งในปีนี้ผลผลิตมีน้อยเพราะอากาศแล้ง ผลผลิตน้อย ในช่วงนี้ก็จะมีเหลือบ้างประปราย หากใครคิดจะลองลิ้มชิมรสแล้ว ก็คงต้องรีบกันหน่อย แต่ถ้าหากพลาดจากปีนี้ ปีหน้าก็ยังมีให้ได้ลิ้มลองกันอีก

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก http://www.manager.co.th/travel/viewnews.aspx?NewsID=9550000082523

โอ้แม่เจ้า ใบมันสำปะหลัง ราคาดี มีค่าอย่าทิ้ง ตันล่ะ 6,000 บาท

โอ้แม่เจ้า ใบมันสำปะหลัง ราคาดี มีค่าอย่าทิ้ง ตันล่ะ 6,000 บาท

ใบมันสำปะหลัง ประโยชน์ได้ที่มหาศาล ทำปุ๋ยอินทรีย์ หรือเก็บขายโรงงานอาหารสัตว์ ได้ราคาสูงมันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่เกษตรกรนิยมปลูก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสาน เนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนแล้ง สามารถเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่อายุ 8 เดือนขึ้นไป และหากเกษตรกรไม่พอใจราคามันสำปะหลังก็สามารถรอการเก็บเกี่ยวได้ถึง 2 ปี การปลูกมันสำปะหลังในประเทศไทยมีมานานหลายสิบปี พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังค่อนข้างแปรปรวนขึ้นอยู่กับราคาที่เกษตรกรขายได้ โดยในปี 2559 พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังทั้งประเทศ 7 ล้านไร่ ผลผลิตหัวมันสด 20.5 ล้านตัส่วนที่อยู่เหนือดินของมันสำปะหลัง นอกจากต้นมันแล้วยังมีใบมันสำปะหลัง ซึ่งในพื้นที่ 1 ไร่ ของการเก็บเกี่ยวจะมีใบมันสดคิดเป็นน้ำหนักประมาณ 660-700 กิโลกรัม โดยใบมันสดมีโปรตีนอยู่ 6% และยังมีไซยาไนต์ในปริมาณสูง แต่การผึ่งแดด 2-3 แดด หรืออบแห้งจะช่วยลดปริมาณไซยาไนต์จนอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อการนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ นอกจากนี้ใบมันยังเป็นแหล่งสารสีหรือสารแซนโทฟิลล์อีกด้วย เมื่อเทียบคุณค่าทางโภชนาการของใบมันแห้งและใบกระถินแห้ง จะมีคุณค่าใกล้เคียงกันโดยมีโปรตีนสูงถึง การเก็บเกี่ยวใบมัน สามารถเก็บทั้งใบและก้าน รวมถึงส่วนยอดของลำต้นความยาวประมาณ 20-50 เซนติเมตร โดยสามารถเก็บใบมันได้เมื่อต้นมันมีอายุ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งในการเก็บใบมันเกษตรกรทยอยเก็บครั้งละ 10-15 ใบต่อต้น จะไม่กระทบต่อผลผลิตหัวมัน และหลังจากนั้นเก็บอีกครั้งในช่วงขุดหัวมัน การเก็บเกี่ยวใบมันใช้แรงงานและเวลาไม่มาก และหากเกษตรกรมีการจัดช่วงระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมก็จะสามารถใช้แรงงานในครอบครัวได้อย่างเหมาะสมและสร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกรได้ดีการผลิตใบมันสำปะหลังแห้งเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์

(1) เก็บใบมันสำปะหลัง ควรเก็บใบมันสำปะหลังจากต้นก่อน ทำการเก็บเกี่ยวหัวมัน เนื่องจากการเก็บใบมันสำปะหลังหลังการเกี่ยว แล้วนั้น อาจทำได้ไม่สะดวก และไม่สามารถเก็บใบมันสำปะหลังใน แปลงได้หมด แต่ควรเก็บใบมันก่อนการขุดหัวมันไม่เกิน 12– 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเปอร์เซ็นต์แป้งในหัวมันสำปะหลัง
(2) การเก็บใบมันนั้นควรเด็ดจากส่วนยอดบริเวณที่มีสีเขียว ยาวลงมาประมาณ 20 เซนติเมตร ส่วนที่เหลือเด็ดเฉพาะใบกับก้าน ใบเท่านั้น ไม่ควรเก็บส่วนของลำต้นติดมาด้วย เนื่องจากจะทำให้ใบมันสำปะหลังที่ได้มีคุณภาพต่ำ คือโปรตีนต่ำ เยื่อใยสูง และส่วน ก้านกับลำต้นยังทำให้แห้งได้ช้าอีกด้วย
(3) เมื่อเก็บใบมันมาแล้วควร ตาก / ผึ่งแดดให้เร็วที่สุด เนื่องจากการเก็บไว้ในกระสอบหรือกองไว้ ทำให้เกิดความร้อนขึ้น ส่งผลให้ใบมันสำปะหลังมีลักษณะตายนึ่ง ใบมันสำปะหลังที่ได้เป็นสีน้ำตาล ไม่เป็นสีเขียว ไม่น่าใช้ อีกทั้งทำให้มีการสูญเสีย ไวตามินเอและสารสีในใบมันไปด้วย
(4) นำใบมันสำปะหลังที่เก็บได้มาตาก / ผึ่งแดด ให้แห้ง โดยอาจสับเป็นชิ้น ซึ่งจะทำให้ตากแห้งเร็วขึ้น ระหว่างการตาก ควรกลับใบมันสำปะหลังไปมาเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ส่วนใบและก้าน แห้งได้ทั่วถึง โดยตาก / ผึ่งแดด นาน 2 – 3 แดด ซึ่งใบมันแห้งที่ ได้นี้สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบอาหารโค – กระบือ 



ได้ทันทีโดยไม่ต้องทำการบดสำหรับในสัตว์กระเพาะเดี่ยวพวกสุกรและสัตว์ปีกต้องนำไปบดให้ละเอียดก่อนนำไปใช้ผสมกับวัตถุดิบชนิดอื่น.... 
สำหรับคุณค่าทางโภชนะของใบมันสำปะหลังจะผันแปรตามปริมาณส่วนใบกับก้าน และลำต้นที่ติดมา ถ้ามีส่วนใบมากโปรตีนก็จะสูง โดยคุณค่าทางโภชนะของใบมันสำปะหลังแห้ง แม้ว่าใบมันสำปะหลังจะมีสารพิษสำคัญ 2 ชนิด 
คือกรดไฮโดรไซยานิคและสารแทนนิน 
แต่ในใบมันแห้งจะมีกรดไฮโดรไซยานิคเหลืออยู่ในระดับต่ำมากไม่เกิน 30 ส่วนในล้านส่วน (ppm) เช่นเดียวกับในมันเส้นที่สารพิษระเหยออกไประหว่างผึ่งแดด จนเหลือในระดับที่ไม่เป็นอันตรายสำหรับสัตว์ และกรดไฮโดรไซยานิคในระดับต่ำดังกล่าวนี้กลับช่วยกระตุ้นให้เกิดระบบที่ทำให้สัตว์มีความต้านทานโรคเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนปริมาณแทนนินที่มีอยู่ในระดับต่ำ 14.79 มิลลิกรัม/กก. ก็มีประโยชน์สามารถควบคุมพยาธิในตัวสัตว์ได้ด้วยนอกจากนี้ใบมันสำปะหลังแห้งยังสามารถใช้เป็นแหล่งของไวตามินเอ (แคโรทีน) และสารสีแซนโทฟิลล์ให้กับสัตว์โดยมีปริมาณสูงกว่า คือประมาณ 660 มก. / กก. เทียบกับ 318 มก. / กก. ที่มีอยู่ในใบกระถิน........ข้อจำกัดในการใช้ใบมันสำปะหลังคือระดับเยื่อใยหรือความฟ่าม จึงแนะนำให้ใช้ในสูตรอาหารสุกรรุ่น-ขุน และแม่พันธุ์ในระดับไม่เกิน 10-15 เปอร์เซ็นต์ อาหารสัตว์ปีกไม่เกิน 5-7 เปอร์เซ็นต์ อาหารผสมรวม (TMR) สำหรับโค-กระบือ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับที่จะไม่มีปัญหาจากสารพิษทั้งสองชนิดดังกล่าวข้างต้น แม้ว่าที่ผ่านมาเกษตรกรบางรายจะมีการใช้ใบมันสำปะหลังเพื่อเลี้ยงสัตว์ เช่น เลี้ยงโคบ้างก็ตาม แต่ปัจจุบันมีการค้าใบมันสำปะหลังบ้างแล้ว ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้ประกอบการในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่า ลานมันได้รับซื้อใบมันสดและใบมันแห้งจากเกษตรกรและจำหน่ายให้แก่ผู้เลี้ยงสัตว์ในรูปใบมันแห้งและใบมันหมัก"โดยราคารับซื้อใบมันสดตันละ 700 บาท และใบมันแห้งสูงถึงตันละ 4,000 บาท โดยนำใบสดมาตาก 2-3 แดด ให้ความชื้นเหลือประมาณ 8-10% แล้วบดเป็นชิ้นเล็กๆ รอจำหน่ายหรือนำใบสดมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ หมักร่วมกับกากแป้งในถุงพลาสติกปิดปากแน่น เป็นเวลา 15 วัน สามารถลดปริมาณไซยาไนต์ได้กว่าร้อยละ 90 ราคาจำหน่ายใบมันแห้งบดสูงถึงตันละ 6,000 บาท และราคาใบมันหมักตันละ 2,000 บาท ซึ่งสามารถใช้ในสูตรอาหารสัตว์ได้ประมาณ 5% สำหรับสถานที่รับซื้อนั้น ปัจจุบันพบว่ามีพ่อค้าประกาศรับซื้อทางสื่อออนไลน์ทั้งเฟสบุ้คและโซเชียลต่างๆเป็นจำนวนมาก จึงถือเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้ใหม่ให้กับเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังของไทย%

ดูดีจนจำแทบไม่ได้!! เปลี่ยนบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนเก่าๆ ให้กลายเป็นบ้านสวยสไตล์โมเดิร์น

ดูดีจนจำแทบไม่ได้!! เปลี่ยนบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนเก่าๆ ให้กลายเป็นบ้านสวยสไตล์โมเดิร์น

   บ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน จัดได้ว่าเป็นสไตล์บ้านที่คุ้นตาชาวไทยกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นบ้านที่คนนิยมสร้างกันในพื้นที่ชนบท แน่นอนว่าเป็นบ้านแนวดั้งเดิมที่อาจจะขาดความทันสมัยไปเสียหน่อย ซึ่งก็อาจจะไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้ดีเท่าที่ควร
   แล้วเราจะเติมความทันสมัยลงไปยังไงล่ะ? คำตอบก็คือ การรีโนเวทนั่นเองครับ เช่นเดียวกับผลงานของคุณ เกรียงไกร ใจวงศ์ หลังนี้ เป็นการรีโนเวทบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนแนวชนบทเก่าๆ ให้กลายเป็นบ้านโมเดิร์นสุดทันสมัย ชนิดที่ว่าถ้าเพื่อนบ้านมาเห็น คงอยากจะรีโนเวทตามกันบ้างเลยทีเดียว!!
ภาพบ้านหลังเก่า เป็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนครับ
เริ่มทำการรื้อส่วนที่เป็นไม้ของชั้นสอง เพื่อต่อเติมให้เป็นสไตล์โมเดิร์น
ช่างลุยงาน ฮึบๆ

งานพื้น เทปูนใหม่ ทับพื้นเก่า





เริ่มก่อโครงสร้างชั้นสอง


โครงหลังคาก็มา


ลงสีพื้นเป็นโทนสีขาวเรียบๆ ก่อนแต่งแต้มด้วยสีสันที่เลือกไว้ในภายหลัง
   ตามมาด้วยงานโครงสร้างชั้นล่าง ในกระบวนการนี้จะใช้อิฐบล็อกก่อเป็นกำแพง
   เหนื่อยแค่ไหน แต่ยังไงก็มีเป้าหมาย ^^เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วต่อด้วยงานทีสีภายนอก

งานบันไดภายใน


จากนั้นก็ตามด้วยงานระบบไฟฟ้าภายใน


   เมื่อเก็บงานส่วนต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกจนสมบูรณ์แล้ว นี่ก็คือบ้านพร้อมอยู่อาศัยครับ ตามมาชมบรรยากาศกันเลย

 
   บ้านสองชั้นแนวโมเดิร์น หลังคาเพิงหมาแหงน ตกแต่งภายนอกด้วยโทนสีหลากหลาย สะดุดตาเพื่อนมากเอามากๆ หากใครที่อยู่แถวนั้นมาเห็นนี่ คงอยากจะรีโนเวทบ้านตัวเองกันเลยทีเดียว


โดดเด่น สะดุดตา ตั้งแต่รั้วบ้าน

   มาชมการตกแต่งภายในกันบ้างครับ ปูพื้นหลังเรียบๆ ด้วยโทนสีขาวทั้งในส่วนของผนังกำแพงและพื้น แต่งแต้มไปด้วยสีสันที่สร้างความเป็นเอกลักษณ์และดึงดูดสายตา อย่างในห้องโถงนี้ ที่มีเสาอิฐสีแดงตั้งไว้อยู่กลางห้อง

บันไดเหล็กตีพื้นด้วยไม้ ตัดกับผนังฉากหลังที่เป็นปูนเปลือย ได้อารมณ์อินดัสเทรียลนิดๆ

   ระเบียงชั้นสองปูพื้นด้วยกระเบื้องลวดลายหิน ให้บรรยากาศที่สดชื่นเล็กๆ พร้อมเผยให้ผู้อยู่อาศัย มองวิวรอบบ้านได้อย่างเต็มสายตา
 
บันไดเหล็กตีพื้นด้วยไม้ ตัดกับผนังฉากหลังที่เป็นปูนเปลือย ได้อารมณ์อินดัสเทรียลนิดๆ

ระเบียงชั้นสองปูพื้นด้วยกระเบื้องลวดลายหิน ให้บรรยากาศที่สดชื่นเล็กๆ พร้อมเผยให้ผู้อยู่อาศัย มองวิวรอบบ้านได้อย่างเต็มสายตา

   ในส่วนของรายละเอียดค่าใช้จ่าย บ้านหลังนี้ใช้งบประมาณทั้งหมด 850,000 บาท โดยรวมทั้ง ค่ารื้อถอนและค่าก่อสร้าง โดยบ้านหลังนี้มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว และอีก 1 ห้องรับแขกครับ
   เรียกได้ว่าเป็นการรีโนเวทที่เปลี่ยนใหม่ ทั้งโครงสร้างและสไตล์ หวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจดีๆ สำหรับเพื่อนๆ ชาวเว็บที่มีบ้านเก่าๆ และต้องการจะรีโนเวทนะครับ ไว้มาพบกันใหม่ในคราวหน้านะจ๊ะ ^_^
Facebook Page : PKS. Pookuns Home & Design



ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก http://www.naibann.com/half-concrete-half-wood-house-renovated-into-new-modern-one-review/

HIIT หนึ่งในวิธีออกกำลังกายที่ให้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ใช้เวลาแค่เพียง 15-20 นาที ต่อวัน ก็สามารถเบิร์นไขมันได้แล้ว ใครที่กำลังอยากรีดไขมันต้องไม่พลาดเลย

HIIT หนึ่งในวิธีออกกำลังกายที่ให้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ใช้เวลาแค่เพียง 15-20 นาที ต่อวัน ก็สามารถเบิร์นไขมันได้แล้ว ใครที่กำลังอยากรีดไขมันต้องไม่พลาดเลย

HIIT

          นอกจากเวทเทรนนิ่งและ T25 ที่เป็นเทรนด์การออกกำลังกายที่กำลังเป็นที่นิยมของหนุ่ม ๆ สาว ๆ แล้ว ยังมีการออกกำลังกายอีกวิธีหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งอุปกรณ์ใด ๆ อย่าง HIIT หรือ High-Intensity Interval Training ที่ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้ในระดับสูงสุดในเวลาแค่เพียง 20 นาทีเท่านั้น อยากรู้กันแล้วใช่ไหมล่ะว่าวิธีการออกกำลังกายนี้เป็นอย่างไร วันนี้กระปุกดอทคอมนำข้อมูลเกี่ยวกับ HIIT มาเล่าสู่กันฟังค่ะ ใครที่กำลังมองหาวิธีการออกกำลังกายที่ง่ายแต่ให้ผลอย่างยอดเยี่ยมอยู่ละก็ รับรองว่าต้องสนใจวิธีแน่นอนค่ะ

          HIIT หรือ High-Intensity Interval Training เป็นวิธีการออกกำลังกายสไตล์คาร์ดิโอที่ผสมผสานกันระหว่างการออกกำลังกายอย่างหนักและการออกกำลังกายเบา ๆ สลับกันไป ซึ่งการวิจัยที่จัดทำขึ้นโดย The American College of Sports Medicine หรือ ACSM พบว่า การออกกำลังกายชนิดนี้เป็นการออกกำลังกายที่เป็นเทรนด์ออกกำลังยอดนิยมประจำปี 2014 รองจากการเล่นเวทเทรนนิ่ง เพราะทำให้เราสามารถออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกายได้อย่างเต็มที่ แถมยังทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น และเบิร์นไขมันออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังช่วยทำให้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนักเพียงอย่างเดียว นี่ล่ะคือเหตุผลที่ทำให้คนนิยมออกกำลังกายแบบ HIIT  


   วิธีการออกกำลังกายแบบ HIIT


          ในการออกกำลังกายแบบ HIIT จะประกอบด้วย การออกกำลังกายอย่างหนัก และการออกกำลังกายเบา ๆ สลับกัน โดยอัตราส่วนของการออกกำลังกายก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น 1 : 2 (หนัก 15 วินาที เบา 30 วินาที) หรือ 1 : 3 (หนัก 15 วินาที : เบา 45 วินาที) แต่ถ้าเริ่มชินกับการออกกำลังกายแบบ HIIT แล้วก็อาจจะเปลี่ยนเป็น 1 : 1 (หนัก 30 วินาที เบา 30 วินาที) ก็ได้ หรือจะเป็นการออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักตัว อย่างเช่น วิดพื้น ซิทอัพ หรือ กระโดด สลับกับการพักก็ได้ค่ะ

          การออกกำลังกายแบบ HIIT จะเริ่มด้วยการวอร์ม ซึ่งจะต้องวอร์มอย่างน้อย 5 นาที แล้วค่อยเลือกการออกกำลังกายตามตัวอย่างต่อไปนี้

          ตัวอย่างการออกกำลังกายแบบอัตราส่วน

          การวิ่ง 5 นาที 

          * สูตร 1 : 2 คือ วิ่งเร็ว 15 วินาที สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที 
          * สูตร 1 : 3 คือ วิ่งเร็ว 15 วินาที สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ 45 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที 
          * สูตร 1 : 1 คือ วิ่งเร็ว 30 วินาที สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที  

          การออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักตัว 5 นาที

          * วิธีที่ 1 - ซิทอัพ 50 ครั้ง สลับกับการพัก 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที  


HIIT

          * วิธีที่ 2 - ทำท่ากระชับท้องแขน (Tricep Dip) โดยเอามือทั้งสองข้างจับไปที่เก้าอี้ กางเท้าให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวไหล่ ยันตัวขึ้น เกร็งแขน หลังตรง แล้วย่อตัวลง ให้ด้านหลังเข้าไปใกล้กับเก้าอี้ให้มากที่สุด อย่ากางข้อศอกออกไปด้านข้างและต้องตั้งฉาก 90 องศา ทำท่านี้ 30 ครั้ง สลับกับการพัก 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที  

          * วิธีที่ 3 - วิดพื้น 30 ครั้ง สลับกับการพัก 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที 

HIIT
ท่า Burpees

          * วิธีที่ 4 - ทำท่า Burpees คือ กระโดด 1 ครั้ง สลับกับวิดพื้น 1 ครั้ง 30 วินาที สลับกับการพัก 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที 


          * วิธีที่ 5 - กระโดดแยกแขนขา 20 ครั้ง สลับกับการพัก 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที 



          * วิธีที่ 6 - กระโดดสควอท 40 ครั้ง (Jump Squats) สลับกับการพัก 30 วินาที ไปเรื่อย ๆ จนครบ 5 นาที 

          โดยวิธีการออกกำลังกายเหล่านี้สามารถทำซ้ำได้ 2-3 ครั้ง ต่อการออกกำลังกาย 1 ครั้ง ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของตนเองนะคะ หลังจากนั้นจึงค่อย cool down อีกประมาณ 5 นาที เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ อย่างเช่นวิ่งเหยาะ ๆ พร้อมกับยืดเส้นยืดสายส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามไปด้วย ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ 

          เท่ากับเราใช้เวลาวอร์มอัพ 5 นาที ออกกำลังกาย 5-15 นาที และ cool down อีก 5 นาที รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 15-25 นาทีเท่านั้นเอง

ออกกำลังกาย


          หรือถ้าใครอยากใช้เวลาให้มากหน่อย ก็สามารถออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักตัวสัก 30 นาทีก็ได้ โดยวอร์มอัพ 5 นาที ออกกำลังกาย 20 นาที ปิดท้ายด้วย cool down 5 นาที แต่วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชินกับการออกกำลังด้วยวิธี HIIT แล้ว หรือมีร่างกายที่แข็งแรงพอเท่านั้นค่ะ ซึ่งเราก็มีตัวอย่างการออกกำลังกายแบบ HIIT 30 นาทีมาบอกด้วย

           1. เริ่มวอร์มร่างกาย ประมาณ 5 นาที แล้วเริ่มออกกำลังกาย

           2. กระโดดตบ 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           3. กระโดด 1 ครั้ง สลับกับ วิดพื้น 1 ครั้ง (่ท่า Burpees) 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           4. วิดพื้น 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           5. วิดพื้นด้วยท่าตะแคง 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           6. วิดพื้นด้วยท่าตะแคง (คนละด้านกับครั้งก่อน) 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           7. วิ่งอยู่กับที่ 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           8. ทรงตัวบนลูกบอล 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           9. กระโดดสควอท 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           10. กระโดดแยกขา 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           11. นั่งยอง ๆ แล้วโน้มลำตัววางฝ่ามือยันพื้นด้านหน้า เหยียดขาซ้ายไปข้างหลังโดยที่ลำตัวและหน้าอกยังคงแนบสนิทกับหน้าขา ใช้แขนดันตัวขึ้นพร้อมกับกดน้ำหนักลงที่ปลายเท้าและเปิดส้นเท้าทั้งสองข้างขึ้นเหมือนท่าออกตัววิ่ง จากนั้นกระโดดสลับขาอย่างต่อเนื่อง 50 วินาที แล้วพัก 10 วินาที

           12. พัก 1 นาที แล้วทำข้อ 2 -11 อีกครั้ง

           13. เมื่อทำครบเซตแล้ว ให้ cool down ร่างกายด้วยการวิ่งเหยาะ ๆ พร้อมขยับแขนขา หรือซิทอัพเบา ๆ อีกประมาณ 5 นาที



ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก https://health.kapook.com/view99755.html

รู้ยัง? “5 ผลไม้ เด่น ที่น่าปลูกในอนาคต” มีอะไรบ้าง

รู้ยัง? “5 ผลไม้ เด่น ที่น่าปลูกในอนาคต” มีอะไรบ้าง

ลำไยยักษ์ พันธุ์ “จัมโบ้”
ลำไยสายพันธุ์ใหม่ ที่กรมวิชาการเกษตร ได้มีหนังสือรับรองพันธุ์ขึ้นทะเบียนกรมวิชาการเกษตร จัดเป็นลำไยอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ได้จากการกลายพันธุ์มาจากการเพาะเมล็ด (คาดว่าน่าจะกลายมาจากพันธุ์อีดอ) เป็นพันธุ์ที่เหมาะต่อการบริโภคสด
ผลมีขนาดใหญ่มาก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เซนติเมตร มีขนาดผลใหญ่กว่าลำไยเกรด A ที่ส่งขายยัง ต่างประเทศถึง 2 เท่า
เป็นลำไยที่เนื้อหนาแข็งและแห้ง ไม่แฉะน้ำ มีความหวานเฉลี่ย 13-15 เปอร์เซ็นต์บริกซ์
ที่น่าสนใจคือ เมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ และได้มีการตั้งชื่อว่า พันธุ์ “จัมโบ้” (JUMBO)
เจ้าของลำไยพันธุ์จัมโบ้นี้คือ คุณสุทัศน์ อินต๊ะ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เป็นต้นที่ได้จากการปลูกด้วยเมล็ดและกลายพันธุ์มาดี จากลำไยต้นหนึ่งในเขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ลักษณะของการติดผลของลำไยพันธุ์นี้ ถ้าดูแลดี ดกไม่แพ้พันธุ์อีดอ โดยเฉพาะในช่วงออกดอกและติดผล ลักษณะผลจะกลมแป้น ผิวเปลือกเรียบ มีสีน้ำตาลปนเหลือง เปลือกหนาประมาณ 1.3 มิลลิเมตร
ในธรรมชาติจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคม และเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนสิงหาคม-กันยายน
จัดเป็นลำไยที่มีลักษณะเป็นพันธุ์หนักกว่าพันธุ์อื่น ทำให้ผลผลิตแก่กว่าลำไยที่ออกในฤดูทั่วไป เนื่องจากเป็นลำไยที่พบเปอร์เซ็นต์เมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ “สวนคุณลี” จังหวัดพิจิตร และได้ผลผลิตในช่วงต้นเดือนกันยายน พบว่าใน 1 ช่อ ผลลำไยมีเมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์
ถือเป็นพันธุ์ลำไยที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก คือรสชาติ ลักษณะเหมือนลำไยพันธุ์อีดอผสมเบี้ยวเขียว คือมีเนื้อแห้งและกรอบ แต่ได้ขนาดที่ผลใหญ่มาก และที่สำคัญ “เมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ และเนื้อหนามาก”
มีเกษตรกรผู้ปลูกลำไยส่งออกได้มาดูผลผลิตยอมรับว่าดีจริง และส่งขายต่างประเทศได้ราคาสูงแน่นอน
โดยผู้ส่งออกได้มาดูผลผลิตลำไยพันธุ์จัมโบ้ที่สวนคุณลีบอกว่า ลักษณะคล้ายกับพันธุ์อีดอ เนื้อมีสีขาว แต่โดดเด่นตรงที่เนื้อหนามากและเมล็ดลีบ ทำให้ได้เปรียบลำไยสายพันธุ์อื่น
สำหรับพื้นที่ที่จะปลูกลำไยพันธุ์จัมโบ้สามารถปลูกได้ทั่วประเทศ ขอให้มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น 
เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการใช้สารโพแทสเซียมคลอเรต หรือโซเดียมคลอเรต บังคับให้ออกนอกฤดูได้ 
การปลูกลำไยแบบสมัยใหม่ ถ้าเป็นพื้นที่ที่เคยปลูกพืชอื่นมาก่อน ให้ไถดินลึก ประมาณ 30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 20-25 วัน พรวนย่อยดินอีก 1-2 ครั้ง และปรับระดับดินให้สม่ำเสมอตามแนวลาดเอียง
วิธีการปลูก เริ่มจากการเตรียมพันธุ์โดยวิธีการตอนกิ่ง ซึ่งควรเตรียมไว้ล่วงหน้า 1 ปี เพื่อจะได้ต้นกล้าที่แข็งแรง หรือเลือกใช้ต้นพันธุ์ลำไยที่ขยายพันธุ์แบบเสียบยอด หรือทาบกิ่งก็ได้ เพราะจะได้ต้นพันธุ์ที่มีรากแก้ว ทำให้ต้นแข็งแรง หากินเก่ง ทนต่อสภาพดินไม่ดีได้ ต่อมาก็เป็นเรื่องของระยะปลูก 6x6 เมตร แล้วใช้วิธีควบคุมทรงพุ่ม
ฝรั่ง พันธุ์ “พิจิตร 1”
ผู้เขียนได้นำเมล็ดพันธุ์ฝรั่งฮ่องเต้มาบริโภค และได้นำเมล็ดมาเพาะโดยมีวัตถุประสงค์แรกเพื่อจะใช้ทำต้นตอ และนำไปทาบกิ่งกับฝรั่งพันธุ์ฮ่องเต้ เพื่อจะได้ต้นพันธุ์ที่มีรากแก้ว เมล็ดส่วนหนึ่งได้นำไปปลูกแซมในสวนมะนาวแป้นดกพิเศษ เพื่อตรวจสอบดูว่าจะมีฝรั่งต้นใดกลายพันธุ์มาดีกว่าพันธุ์ฮ่องเต้หรือไม่
ผลปรากฏว่า มีฝรั่งอยู่ต้นหนึ่งปลูกด้วยเมล็ดไปเพียง 4-5 เดือนเศษ เริ่มออกดอกและติดผลดกมาก ที่สวนคุณลีได้ทดลองผลเหมือนกับการห่อฝรั่งในไต้หวัน เมื่อผลแก่พบว่า ฝรั่งมีผลเป็นทรงกลมคล้ายพันธุ์กลมสาลี่ มีผิวขาวนวล เนื้อละเอียดมาก และเนื้อไม่แข็งมาก เมล็ดน้อยมาก รสชาติหวานมาก ความหวานน่าจะไม่ต่ำกว่า 14 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ ถ้ามีการบำรุงรักษาที่ดี ผลจะมีน้ำหนักได้ถึง 1 กิโลกรัม ต่อผล
ที่สำคัญ เมื่อผลฝรั่งพันธุ์พิจิตร 1 แก่จัด เนื้อจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวคล้ายกลิ่นของแอปเปิ้ล และเนื้อล่อนหลุดง่ายจากเมล็ด จัดเป็นฝรั่งที่มีรสชาติอร่อยมากอีกพันธุ์หนึ่ง และได้ตั้งชื่อพันธุ์ว่า “พันธุ์พิจิตร 1” เพราะต้นแม่เกิดที่จังหวัดพิจิตร 
คาดว่า ฝรั่งพันธุ์พิจิตร 1 จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการปลูกฝรั่งไทยในอนาคตอย่างแน่นอน
การปลูกฝรั่งให้ความสำคัญในเรื่องของสภาพดินปลูกที่จะต้องเป็นดินที่มีการระบายน้ำที่ดีและมีอินทรียวัตถุสูงเป็นที่สังเกตว่าการนำกากอ้อยมาใช้เป็นปุ๋ยหมักในการปรับโครงสร้างของดินและที่เน้นเป็นพิเศษคือจะต้องมีการตรวจเช็กค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน เมื่อดินเป็นกรดจะแนะนำให้ใส่ปูนโดโลไมท์ ระยะการปลูก 4x4 เมตร หรือ 6x6 เมตร
มีคำแนะนำเพิ่มเติมว่า การใช้ระยะปลูกที่ห่างพอสมควรมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบการถ่ายเทอากาศที่ดี มีส่วนช่วยลดปัญหาโรคและแมลงได้
ฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร 1” จัดเป็นไม้ผลที่น่าปลูก เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกได้เร็ว กล่าวคือ ปลูกเพียง 6 เดือน ต้นสามารถออกดอกและติดผลแล้ว และเก็บผลผลิตขายได้ภายใน 1 ปี
ชมพู่พันธุ์ “สตรอเบอรี่”
สวนคุณลีได้ยอดพันธุ์ชมพู่สตรอเบอรี่มาเสียบยอดกับต้นชมพู่ทับทิมจันท์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 ต้นชมพู่สตรอเบอรี่ใหญ่เต็มที่ เริ่มออกดอกและติดผลพบว่า ให้ผลผลิตดกมาก มีลักษณะติดผลเป็นพวงและผลร่วงน้อยกว่าชมพู่พันธุ์อื่นๆ เมื่อผลชมพู่แก่สีของผลมีสีแดงเลือดนก โดดเด่นมาก มีน้ำหนักผลไม่ต่ำกว่า 200 กรัม และรสชาติหวาน กรอบ อร่อยมาก ที่สำคัญเมื่อปล่อยชมพู่ให้แก่จัดบนต้นพบว่า เน่าเสียได้ยากกว่าชมพู่ทุกพันธุ์ที่ปลูกในบ้านเรา
สรุปได้ว่า เป็นพันธุ์ชมพู่ที่ทนต่อการขนส่ง ชมพู่พันธุ์สตรอเบอรี่จะมีความแตกต่างจากชมพู่การค้าพันธุ์อื่นๆ ตรงที่ลักษณะของใบจะใหญ่มาก
ปัจจุบันชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรมีปลูกอยู่รายเดียวเท่านั้นในประเทศไทย
ผู้เขียนคาดว่า ชมพู่พันธุ์สตรอเบอรี่ จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการปลูกชมพู่ในอนาคตของชาวสวนผลไม้ไทย เนื่องจากเป็นชมพู่ที่มีเนื้อละเอียด เวลากัดจะไม่รู้สึกปวดฟัน เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและวัยรุ่นที่ชอบชมพู่ที่มีสีสันสวยงาม สีแดงสด และรสชาติหวาน กรอบ จัดเป็นชมพู่ที่ติดผลดกมาก น้ำหนักผลที่ใหญ่สุดมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 250 กรัม
มะม่วงพันธุ์ “งาช้างแดง” ของแท้
ช่วงระหว่าง วันที่ 29 กรกฎาคม-2 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานที่เกาะไต้หวันอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่ 5 และในครั้งนี้ได้เข้าชมแปลงปลูกมะม่วงของศูนย์ปรับปรุงพันธุ์ไม้ผลเมืองไทนันอีกครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสได้เห็นมะม่วงพันธุ์ “งาช้างแดง”
ซึ่งมีขนาดผลใหญ่และยาวมาก วัดความยาวผลได้ถึง 25 เซนติเมตร มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 1.5-2 กิโลกรัม เนื้อสุกมีรสชาติหวาน หอม เนื้อหนามาก เมล็ดลีบบาง เพียง 1 เซนติเมตร เท่านั้นเอง
ทางสวนคุณลี ได้ต้นพันธุ์ มะม่วง “งาช้างแดง” มาปลูกในประเทศไทยแล้ว ปัจจุบันได้มีการเผยแพร่มะม่วงพันธุ์งาช้างแดงกันอย่างแพร่หลาย อาจจะทำให้มีหลายคนเกิดความสับสนทั้งรูปภาพที่นำมาเผยแพร่
ในการไปดูงานในไต้หวันในครั้งนี้ ผู้เขียนได้รับความกระจ่างว่า สวนคุณลีได้มะม่วงพันธุ์งาช้างแดงของแท้มาปลูก และได้ทดลองชิมผลผลิตแล้วต้องยอมรับว่า เมื่อผลสุกรสชาติหวาน หอม ไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้ ที่สำคัญปริมาณเนื้อมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และเมล็ดลีบเล็กมาก มะม่วงพันธุ์งาช้างแดง ผลใหญ่และยาวมาก วัดความยาวผลได้ถึง 25 เซนติเมตร เนื้อสุกมีรสชาติหวานหอม เนื้อหนามาก เมล็ดลีบบางเพียง 1 เซนติเมตร เท่านั้นเอง น้ำหนักของเมล็ดไม่ถึง 100 กรัม มีเฉพาะเนื้อมากกว่า 1 กิโลกรัม
มะม่วงลูกผสม “ไต้หวัน T1”
ในแปลงปลูกมะม่วงของศูนย์ปรับปรุงพันธุ์ไม้ผลเมืองไทนัน เกาะไต้หวัน มีการพัฒนาสายพันธุ์มะม่วงให้สีผิวมีสีแดงมากขึ้น มีพันธุ์มะม่วงลูกผสมพันธุ์ใหม่หลายสายพันธุ์ มะม่วงลูกผสมพันธุ์ใหม่บางสายพันธุ์ของศูนย์แห่งนี้ได้ปรับปรุงพันธุ์ให้ผลมีสีแดงออกม่วงตั้งแต่ระยะผลอ่อน
ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรได้ยอดมะม่วงพันธุ์ลูกผสมพันธุ์ใหม่จากแปลงทดลองของศูนย์แห่งนี้มาหลายสายพันธุ์และเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยได้นำยอดพันธุ์มะม่วงเหล่านั้นมาเสียบฝากไว้กับต้นมะม่วงR2E2เวลาผ่านไป 3 ปี มะม่วงลูกผสมของไต้หวันหลายสายพันธุ์ได้เจริญเติบโตและพร้อมที่จะให้ผลผลิต
โดยหนึ่งในนั้นทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร ได้ตั้งชื่อมะม่วงลูกผสมว่า T1 (T ย่อมาจาก Taiwan) ฤดูกาลที่ผ่านมา มะม่วง T1 ได้มีการออกดอกและติดผล
สิ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนว่า ในระยะที่ผลมะม่วง T1 มีการติดผลเท่ากับนิ้วก้อย ผิวที่ผลจะเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีม่วงแดง โดยเมื่อผลมีขนาดใหญ่ขึ้น สีของผิวจะออกสีม่วงเข้มขึ้น และเมื่อผลแก่จะมีสีม่วง ทั้งผล มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 1.5-2 กิโลกรัม จัดเป็นมะม่วงกินสุกที่รสชาติอร่อย เนื้อมีสีเหลืองละเอียดเนียน ไม่มีเสี้ยน
มะม่วงพันธุ์ T1 (TAIWAN เบอร์ 1) เมื่อผลแก่และนำมาวางขายด้วยผิวผลที่มีสีม่วงเข้มจะดึงดูดผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี และคาดว่าจะเป็นมะม่วงอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีชาวสวนมะม่วงไทยขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้นในอนาคต
ปัจจุบัน ทางสวนคุณลี ได้ขยายพื้นที่ปลูกมะม่วง T1 มากขึ้น ด้วยมั่นใจว่าจะปลูกและสามารถบังคับให้ออกนอกฤดูในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการบริโภคมะม่วงในประเทศไทย
ที่สำคัญพบว่า มะม่วงลูกผสม T1 สามารถยืดอายุการเก็บเกี่ยวได้บนต้นนานนับเดือน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผลมะม่วงแก่จัดนำมาบริโภคเป็นมะม่วงกินดิบ เนื้อสีเหลือง รสชาติหวานมัน และอร่อยไม่แพ้มะม่วงพันธุ์ “แก้วขมิ้น” ของกัมพูชา
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : http://money.sanook.com/226153/